วันศุกร์, 26 มกราคม 2018 / Published in Blog และความรู้

ข้อผิดพลาดที่ 1 : ขาดการรีวิวสินค้า
หากคุณไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นของบุคคลที่สาม ใด ๆ ในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ คุณอาจจะพลาดลูกค้าบางส่วนไป งานวิจัยแสดงให้เห็น ว่าประมาณ 3/4 ของผู้ซื้อออนไลน์ อ่านรีวิวของผลิตภัณฑ์ ก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะมีการรีวิวสินค้า และควรจะลงเนื้อหาลงในหน้าผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงการจัดอันดับของเว็บไซต์คุณ

ข้อผิดพลาดที่ 2 : จำนวนหน้ามากเกินไป
เว็บไซต์ E -Commerce นั้นมีจำนวนมากมักจะมีผลิตภัณฑ์จำนวนมาก  บางผลิตภัณฑ์ซ้ำกันทำให้มีหลายหน้าบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ ซึ่งจะทำให้เนื้อหาของเว็บไซต์คุณซ้ำกันทำให้เว็บไซต์ไม่มีประสิทธิภาพ วิธีการแก้ไขนั้น ต้องทำการระบุหน้าเว็บที่ไม่มีการจัดทำดัชนี หรือถูกลบ โดยไม่มีผลต่อเนื้อหาของคุณ และตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่นั้นไม่ซ้ำกันมากจนเกินไป

ข้อผิดพลาดที่ 3 : การใช้เนื้อหาที่ซ้ำกัน
เจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่รู้ว่า เนื้อหาที่ซ้ำกัน จะส่งผลต่อจัดอันดับการค้นหา ของพวกเขา อย่างไรก็ตามแม้ ขณะนี้ ผู้ขายออนไลน์ ส่วนใหญ่ไม่ทราบคือเนื้อหาที่ซ้ำกัน และวิธีการที่จะจัดการกับมัน ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของ Google ใน ที่ซ้ำกัน รวมถึงผู้ขายออนไลน์มักไม่ทราบถึงภาพรวมที่ชัดเจนในการจัดการกับหน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่ซ้ำกัน นอกจากนี้ การขาดการบัญญัติรูปแบบของเนื้อหาที่เหมือนกัน จึงเป็นความผิดพลาดที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุหลัก ของ เนื้อหาที่ซ้ำกันวิธีการแก้ไขนั้น ทดสอบเว็บไซต์ ของคุณโดยใช้ การตรวจสอบ เนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น SEMrush หรือ Siteliner แล้วดำเนินการ กับการจัดการปัญหา และบางสิ่งที่คุณควรจะระมัดระวังเกี่ยวกับ:การเผยแพร่เนื้อหาและการเปลี่ยนเส้นทาง 301

ข้อผิดพลาดที่ 4  : การสร้างเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์
เนื้อหาบางเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาบางเนื้อถูกคัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ หรือสร้างเนื้อหาที่ซ้ำ ๆ กัน ซึ่งในปัจจุบัน Google สามารถตรวจสอบเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราได้เร็วขึ้นกว่าก่อน ซึ่งจะเป็นปัญหาในการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณ การเพิ่มเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์นั้น อาจจะนำไปสู่ ความสามารถในการจัดอันดับของเว็บไซต์ของคุณ วิธีการแก้ไขนั้นให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบที่ Google สามารถรู้ได้ อย่างง่ายดายเป็น แหล่งที่น่าเชื่อถือ ของ ข้อมูล ซึ่งรวมถึง การเชื่อมโยง ภายใน และจาก ทรัพยากร สนับสนุน เช่นเดียวกับ การเชื่อมโยง ออก ไปยังเว็บไซต์ ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้มัน เพียง แต่ เริ่มต้นด้วย รายการของคำถาม และให้แน่ใจว่า คุณตอบ พวกเขาทั้งหมดใน เนื้อหาของคุณ

ข้อผิดพลาดที่ 5  : หน้าเว็บไซต์โหลดช้าเกินไป
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นหนึ่งในสิ่งที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ยังสำคัญต่อลูกค้าของคุณด้ว เนื่องจากหากหน้าเว็บไซต์โหลดช้าแล้ว ลูกค้าที่ serch เข้ามาอาจจะเปลี่ยนใจไปเข้าเว็บไซต์คู่แข่งคุณแทนก็ได้ ปัญหาของการโหลดหน้าเว็บไซต์มีหลายสาเหตุ เช่น  ขนาดไฟล์ภาพขนาดใหญ่  โฮสติ้งและเซิร์ฟเวอร์ช้า

วิธีการแก้ไขนั้น
– การใช้ Cache
– เพิ่มประสิทธิภาพ ขนาดไฟล์ภาพที่ โดยใช้การการบีบอัด
– อัพเกรดพื้นที่และหน่วยความจำของโฮสติ้งและเซิร์ฟเวอคุณ

การตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
– Google Page Speed
– GtMetrix

ข้อผิดพลาดที่ 6  : ไม่ใช้ Google Analytics
การไม่ใช้ Google Analytics ถือว่าเป็นข้อที่ค่อนข้างสำคัญของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ Google Analytics  เป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ จะช่วยให้คุณสามารถวัดความสำเร็จ ของเว็บไซต์ของคุณ โดยการให้ผลวิเคราะห์ตามเวลาจริงและมีการเปรียบเทียบ ข้อมูล กับช่วงเวลา ก่อนหน้านี้และ อื่น ๆ อีกมากมาย วิธีการแก้ไขนั้น Google Analytics ฟรี และท่านควรทำความคุ้นเคยกับ รายงาน SEO ของ Google และกำหนด กลยุทธ์ SEO ทำงานที่ดีที่สุด สำหรับคุณ

ข้อผิดพลาดที่ 7  : เว็บไซต์ไม่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
สถิติ มากกมายได้บ่งบอกว่าสมัยนี้ผู้คนใช้อุปกรณ์มือถือ tablet ในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ถ้าเว็บไซต์ E-commerce ไม่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าเว็บไซต์ใช้งานยากขึ้นและอาจ จะทำให้ลูกค้าของท่านไปเลือกซื้อสินค้าที่เว็บไซต์คู่แข่งท่านแทน ในส่วนของ SEO Google เองก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากขึ้นโดยได้ออก Algorythm ในการจัดอันดับเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Mobilegeddon มาใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ วิธีการแก้ไขนั้น ก่อนอื่นตรวจสอบเว็บไซต์ว่ารองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ที่ ตรวจสอบได้ที่ https://www.google.com/webmasters/tools/mobile-friendly/ หากคุณพบว่าเว็บไซต์ของคุณไม่รองรับก็จัดการเปลี่ยนเว็บไซต์ของท่านให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้แล้ว

ข้อผิดพลาดที่ 8  : การใส่คำหลัก(Keyword) มากจนเกินไป
คำหลักเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการทำ SEO แต่ถ้าใส่มากจนเกินไปทั้งในเนื้อหา และ Meta ต่างๆ ก็จะทำให้อันดับลดลง เนื่องจาก Google อาจจะมองว่าเป็น Spam และสิ่งสำคัญที่สุดในแง่ของประสบการณ์ของผู้ใช้อาจจะไม่ชอบนักถ้าในเนื้อหาของสินค้ามีแต่คำหลักซ้ำ ๆ ไป ๆ มา ๆ วิธีการแก้ไขนั้น ในเนื้อหาและ Meta ต่าง ๆ ควรใส่คำหลักไม่มากและแน่นจนเกินไป ควรใช้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อคำต่อเนื้อหาก็เพียงพอแล้ว

ข้อผิดพลาดที่ 9  : การสร้าง Link ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
นอกจากเนื้อหาที่มีคุณภาพแล้ว การทำ SEO อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ Link ที่เชื่อมโยงเข้ามาภายในเว็บไซต์และเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างจะสำคัญเป็นอย่างมากในการทำ SEO น่าเสียดายที่เจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่พยายามที่จะสร้าง Link ขึ้นมาที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณได้ แทนที่จะได้ Link ที่มีคุณภาพ วิธีการแก้ไขนั้น ทำ Link ให้เป็นธรรมชาติ อย่าสร้าง Link เข้าหาเว็บไซต์มากจนเกินไป

ข้อผิดพลาดที่10: รายละเอียดสินค้าน้อยจนเกินไป
รายละเอียดสินค้าเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คนเลือกซื้อสินค้ามากที่สุด หากเราใส่รายละเอียดสินค้าน้อยจนเกินไป ลูกค้าอาจจะเกิดคำถามและอาจจะโทรมาสอบถามหรืออาจจะเปลี่ยนเว็บไซต์เพื่อหาดูรายละเอียดสินค้าที่อื่นแทนก็เป็นไปได้ ซึ่งในกรณีแรกคุณก็ต้องคอยเสียเวลาตอบคำถามลูกค้าเดิมๆ ซ้ำไป ซ้ำมา หรืออาจจะเป็นกรณีที่สองที่คุณเสียลูกค้าไป ทั้งสองกรณีนี้ไม่เป็นผลดีต่อการขายสินค้าของคุณเป็นอย่างแน่นอน วิธีการแก้ไข รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคำถามที่ถามบ่อย และนำคำตอบไปใส่ในหน้าของสินค้าของคุณ และใส่รายละเอียดสินค้าของคุณให้ครบถ้วน

ข้อผิดพลาดที่ 11: ละเลยการใช้ Long Tail Keyword
เจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะนิยมทำ SEO ผ่านคำหลักที่ได้จากการวิเคราะห์ Keyword ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้มีการกำหนดเป้ายหมายที่ชัดเจน และสามารถใช้คำหลักได้อย้างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการทำ SEO เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่เจ้าของเว็บไซต์ มักลืมไปว่า การใช้ Long Tail Keyword ยังช่วยให้เป้ายหมายที่คนค้นหากว้างขึ้น และตรงกลุ่มเป้าหมายเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย วิธีการแก้ไข ควรมีการวิเคราะห์ Long Tail Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณด้วย

ข้อผิดพลาดที่ 12: การใช้ภาพมากเกินไปในเว็บไซต์
แม้ว่าภาพจะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการทำให้เว็บไซต์ของเราดูดี แต่การที่มีภาพมากจนเกินไปนั้นทำให้ระยะเวลาในการเปิดหน้าเว็บไซต์ช้าลงอีก ด้วย ซึ่งความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์เป็นอีกข้อหนึ่งที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ เว็บไซต์ วิธีการแก้ไข ใช้ภาพให้เหมาะสมทั้งขนาดและจำนวน ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะจะทำให้หน้าเว็บไซต์โหลดได้ช้า

ข้อผิดพลาดที่ 13: การใช้ JavaScript มากเกินไป
หลักการเดียวกับข้อที่แล้ว JavaScript จะช่วยเพิ่มลูกเล่นให้กับเว็บไซต์ แต่การที่มีมากเกินไปนั้นก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดหน้าได้ช้าลง ด้วย ซึ่งความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์เป็นอีกข้อหนึ่งที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ เว็บไซต์  ซึ่งบอกไปแล้วตั้งแต่ข้อที่แล้ววิธีการแก้ไข อย่าใช้ปลั๊กอินหรือสคริปต์ที่ไม่จำเป็น หากใช้ควรใช้ให้มีประโยชน์มากที่สุดและเร็วที่สุด

ข้อผิดพลาดที่ 14: ไม่มีที่อยู่จริง
Google ต้องการเว็บไซต์ที่ขายของออนไลน์นั้นมีที่อยู่จริงๆ เพื่อสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน แค่ควรจะมีที่อยู่เพื่อผูกเข้ากับเว็บไซต์ ซึ่งประโยชน์ของการมีที่อยู่จริงนอกจากช่วยเพอ่มอันดับของเว็บไซ์แล้วยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าของคุณได้อีกด้วย วิธีการแก้ไขสมัคร Google My Business เพื่อที่เว็บไซต์และร้านค้าของคุณมีอยู่จริงเพราะจะได้รับการตรวจสอบจาก google

ข้อผิดพลาดที่ 15: ขาดการวิจัยการตลาด
ถ้าคุณกำลังขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องแข่งขันกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่คุณต้องทำการวิจัยตลาดในเรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นอยู่ในความต้องการของตลาดหรือไม่เพื่อที่จะสามารถวางแผนการตลาดได้อย่างถูกกลุ่มเป้าหมายวิธีการแก้ไข ลองใช้งาน SaleHoo Labs ที่จะช่วยให้คุณแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ใน Amazon และ eBay เพื่อจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการตลาดได้ถูกต้อง

วันศุกร์, 26 มกราคม 2018 / Published in Blog และความรู้

1 การเพิ่มมากขึ้นของ Flat Design Flat
Flat Design หน้าตาเป็นอย่างไร ถ้านึกภาพว่า Flat Design หน้าตาเป็นอย่างไรก็ลองมองดู หน้าเริ่มต้น หรือที่เรียกว่า Metro Start ของ Window 8-10 รูปแบบนั้นที่เรียกว่า Flat Design และ Flat Design คืออะไร? Flat Design ก็คือรูปแบบที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ ประมาณ สีสวย เรียบง่าย สบายตา ซึ่งในปี 2016 นี้ จะได้เห็นงานแบบ Flat Design มากขึ้นและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ

2 ภาพพื่นหลัง(Background) ต้องเป็น Video แบบเต็มจอ(Full Screen)
Trends ในปี 2016 นี้ อีกสิ่งที่ควรจะปรับเปลี่ยนก็คือในส่วนของ ภาพพื่นหลัง(Background) จะเน้นเป็นในรูปแบบ Video แบบเต็มจอ(Full Screen) แทนที่จะเป็นภาพนิ่ง ๆ เหมือนเก่า ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่น่าชมมากขึ้นเพราะมีภาพเคลื่อนไหว

3 Mobile Apps และ สื่อสังคมออนไลน์จะเข้ามามีอิทธิพล
แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ Mobile Apps และ สื่อสังคมออนไลน์เช่น Facebook Twitter ฯลฯ จะมีอิทธิพลมากขึ้น เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นกับ Smart Phone ทำให้มีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น และขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกราฟจากรูปภาพจะเห็นได้ว่ามี การใช้งานจาก Apps ถึง 86% และใช้งาน Facebook ถึง 17%

4 Responsive Design ดีกว่าถ้าจะออกแบบเว็บไซต์
Trends ในปี 2016 นี้ อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive และ การออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive คืออะไร? ก็คือการออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลได้ทุก Devices ประมาณแบบว่าเปิดดูจอไหนก็แสดงผลให้พอดีกับจอนั้น ไม่ว่าจะเป็น PC, Smartphone, iPhone, iPad เป็นต้น ซึ่ง Responsive Design จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในปี 2016 นี้ เพราะ Serch Engine อย่าง Google เอง ก็ออกมาสนับสนุน Responsive Design โดยใช้ Algorythm จัดอันดับที่สนับสนุนเว็บไซต์ แบบ Mobile Friendly ที่ชื่อว่า Mobilegeddon นั้นเอง

ตอนที่ 5 การใช้ Typography ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์
Trends ในปี 2016 นี้ อีกเรื่องนึงที่น่าสนใจและกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก็คือ การใช้หรือการออกแบบ Typography ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ Typography คืออะไร? Typography ก็คือการจัดวางตัวอักษรเพื่อการสื่อสาร หมายความว่า ตัวหนังสือหรือตัวอักษรที่ถูกออกแบบมาให้เป็นหัวข้อหรือข้อความสำคัญๆในหน้าเว็บไซต์ ประมาณพาดหัวข่าวนั้นเอง การใช้ Typography ที่เหมาะสม จะทำให้เว็บไซต์แลัเนื้อหาในเว็บไซต์ดูน่าอ่านมากขึ้น

6 Minimalism จะมีมากขึ้น
การออกแบบเว็บไซต์แบบ Minimalism จะเพิ่มมากขึ้น การออกแบบ Minimalism คืออะไร? คือการออกแบบ แบบเรียบง่าย และดูสะอาดตา งานออกแบบ Minimalism ส่วนใหญ่มักจะใช้สีขาว แต่จริงๆแล้วสามารถใช้ได้ทุกสี ขอให้ดูเรียบง่ายและเหมาะสม

7 Storytelling เรื่องสำคัญของ Designer
นอกเหนือจากการออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ แล้ว ในเรื่องของ Storytelling ก็เป็นเรื่องสำคัญของนักออกแบบเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Freelance หรือ องค์กร ก็ควรจะมี Storytelling ซึ่งStorytelling ถือเป็น กลยุทธ์ที่สำคัญในเรื่องของ Content Marketing Storytelling เป็นรูปแบบการเล่าเรื่องแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่อ่านหรือรับฟัง เกิดความตั้งใจและจดจำเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกับผู้บริโภคและแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมและยั่งยืน

8 Card Based Interface Design
ในปี 2016 นี้เราอาจจะได้เห็นเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบในลักษณะของ Card Based มากขึ้น การออกแบบเว็บไซต์แบบ Card Based เป็นอย่างไร ก็ลักษณะของมันคล้ายๆ นำการ์ดต่างๆ มาจัดเรียงกันในหน้าเว็บไซต์ ถ้าคิดไม่ออกก็เปิด Facebook ดู ว่า Card Based หน้าตาเป็นแบบไหน ยิ่งการออกแบบแบบ Responsive แล้วนั้น Card Based Interface Design นั้นเหมาะมากกับการใช้งานเว็บไซต์แบบ Responsive ทั่วโลกนั้นเริ่มใช้ Card Based ค่อนข้างเยอะ ดูเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง Facebook Pinterest Instragram และอีกมากมายมักนิยมใช้ Card Based เพราะ Card Based ทำให้เว็บไซต์ ดูเรียบง่าย ข้อมูลที่แสดงไม่เยอะจนเกินไป ใช้งานได้หลากหลาย ส่วนในไทย ยังไม่ค่อยเห็นมากนักอาจจะเพราะหน้าตามันดูเรียบง่ายจนเกินไปหรือไม่ นักออกแบบชาวไทยถึงไม่ชอบ